เมื่อครบกำหนดสัญญา 3 ปีกับธนาคารแห่งแรกที่ยื่นขอสินเชื่อกู้ซื้อบ้าน สิ่งที่หลายคนเลือกทำคือ ‘รีไฟแนนซ์บ้าน’ หรือการยื่นขอสินเชื่อบ้านกับสถาบันการเงินแห่งใหม่ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ย นี่เป็นอีกเคล็ดลับที่ควรรู้ เพราะจะช่วยให้ยอดผ่อนบ้านต่อเดือนของคุณลดลง
การรีไฟแนนซ์บ้านต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง มาลิสต์กันเลย !
1. เอกสารประจำตัวของผู้ยื่นขอสินเชื่อ
– สำเนาบัตรประชาชน
– สำเนาทะเบียนบ้าน
– สำเนาการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
– สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนคู่สมรส (ถ้ามี)
– สำเนาทะเบียนบ้านคู่สมรส (ถ้ามี)
– สำเนาทะเบียนสมรส / หย่า (ถ้ามี)
– สำเนาใบมรณบัตร (กรณีคู่สมรสเสียชีวิต)
หากมีผู้กู้ร่วมกัน ต้องจัดเตรียมเอกสารประจำตัวบุคคลมาในรูปแบบเดียวกัน เพื่อให้สถาบันการเงินได้ตรวจสอบอย่างสะดวกและรวดเร็ว
2. เอกสารแสดงรายได้ของผู้ยื่นขอสินเชื่อ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
สำหรับบุคคลที่มีเงินเดือนประจำ
– สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3-6 เดือน
– สำเนาการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
– หนังสือรับรองการทำงาน
– สำเนารับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
– หนังสือผ่านสิทธิสวัสดิการ (ถ้ามี)
สำหรับบุคคลที่ทำธุรกิจส่วนตัว
– สำเนารับรองการจดทะเบียนการค้า / ใบทะเบียนการค้า
– สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นทั้งของผู้กู้ และผู้กู้ร่วมกัน
– สำเนารายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6-12 เดือน
– สำเนาแบบแสดงภาษีซื้อขาย ภ.พ.30 หรือ ภงด. 50/51 ย้อนหลัง 5 เดือน (ถ้ามี)
สำหรับบุคคลประกอบอาชีพอิสระ / ฟรีแลนซ์
– สำเนาการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
– ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ (ถ้ามี)
เอกสารในส่วนนี้อาจมีบางส่วนที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความละเอียดของแต่ละธนาคาร แนะนำให้ผู้กู้ตรวจสอบกับสถาบันการเงินที่คุณสนใจอีกครั้ง เพื่อความถูกต้องและไม่ล่าช้าในการอนุมัติขอรีไฟแนนซ์
3. เอกสารหลักประกันการรีไฟแนนซ์บ้าน
– สำเนาโฉนดที่ดิน หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ หรือสำเนาอื่นๆ ที่แสดงถึงหลักประกันที่มีในครอบครอง
– สำเนาสัญญาแสดงการขายหรือให้ที่ดิน ทด.13 หรือ 14 หรือสัญญาซื้อขายห้องชุด
– สำเนาธุรกรรมของบ้าน เช่น ใบเสร็จการผ่อนชำระบ้าน หรือ ใบเสร็จผ่อนชำระบ้านแบบตัดอัติโนมัติจากธนาคาร โดยนำมาจากรายการเดินบัญชีย้อนหลัง 12 เดือน
– สำเนาการทำสัญญาธุรกรรมกู้เงินจากธนาคารเดิม
– สำเนาสัญญาจำนองที่ดิน หรือห้องชุด
– แผนที่ตั้งหลักประกัน / รูปถ่ายกิจการโดยสังเขป
เมื่อเตรียมเอกสารสำหรับการยื่นขอรีไฟแนนซ์บ้านครบแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการยื่นสำเนาต่างๆ ต่อสถาบันทางการเงินที่คุณสนใจ (เลือกธนาคารที่เหมาะสมกับเงื่อนไขของคุณได้เลย) โดยทางธนาคารจะดำเนินการตรวจสอบและประเมินราคาหลักประกันที่คุณครอบครองไว้ประกอบการพิจารณาอนุมัติรีไฟแนนซ์บ้าน หากผ่านการอนุมัติจากธนาคารใหม่ ก็สามารถติดต่อธนาคารเดิมเพื่อเคลียร์ยอดหนี้ค้างชำระและนัดวันไถ่ถอนได้ทันที
นอกจากการเตรียมเอกสารยื่นขอรีไฟแนนซ์บ้านแล้ว อาจต้องเตรียมค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้านด้วยเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย
1. ค่าประเมินราคา (อาจมีค่าใช้จ่าย)
2. ค่าจดจำนอง จ่ายให้กรมที่ดิน 1% ของวงเงินกู้
3. ค่าอาการแสตมป์ 0.05% ของวงเงิน
4. ค่าประกันอัคคีภัย (ทำทุก 1-3 ปี)
รวมถึงค่าธรรมเนียมอื่นๆ ของธนาคาร ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามโปรโมชั่นในช่วงเวลานั้นๆ
ก่อนจากกันไป Rabbit Care มีข้อแนะนำเพื่อให้การขอรีไฟแนนซ์บ้านผ่านฉลุย โดยคุณต้องใส่ใจอย่างมากโดยเฉพาะในเรื่องเอกสาร เพราะนี่คือหลักฐานในขั้นต้นที่สามารถยืนยันและแสดงความน่าเชื่อถือของตัวตนผู้ยื่นกู้ได้อย่างชัดเจนมากที่สุด สิ่งต่อมาคือเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยสถาบันการเงินบนท้องตลาดทุกๆ 2-3 ปี เพิ่มโอกาสการได้รับข้อเสนอดีๆ ในการรีไฟแนนซ์ครั้งต่อไป และสุดท้ายเช็กเครดิตย้อนหลังตัวเองให้ดี ว่าระบบเครดิตบูโรของเรายังสุขภาพดีอยู่หรือไม่ รวมถึงตรวจสอบรายได้ / สินทรัพย์ของตัวเองว่าเพียงพอที่จะผ่อนชำระต่อเดือนหรือไม่ หากรักษาประวัติย้อนหลังได้ดี การขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่จะไม่ใช่เรื่องที่ยาก
สำหรับใครที่อยากรีไฟแนนซ์บ้าน แต่ยังไม่รู้ว่าควรเลือกสถาบันการเงินไหนที่เหมาะกับยอดหนี้ของเราดี คุณสามารถปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของ Rabbit Care ได้ในเบื้องต้น เพื่อเตรียมเอกสารให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของของธนาคารที่คุณสนใจ เพียงโทร 1438 (บริการ 24 ชม.) หรือ 02-022-1222 หรือเข้ามาเลือกดูสินเชื่อที่เหมาะกับคุณผ่านเว็บไซต์ https://rabbitcare.com